ผจญภัยในทะเลอินโดฯ ไปดูมังกรโคโมโด แล้วโดดขึ้นเรือไปย่ำหาดทรายสีชมพู!

One Day Trip to Komodo Island

ผจญภัยในทะเลอินโดฯ ไปดูมังกรโคโมโด แล้วโดดขึ้นเรือไปย่ำหาดทรายสีชมพู!

- July, 2018 -

อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มีเกาะมากกว่า 15,000 เกาะ นับเป็นประเทศหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก! มีเกาะน้อยใหญ่มากมายจนนับกันไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว หนึ่งในนั้นคือ เกาะโคโมโด (Komodo Island) บ้านหลังใหญ่ของมังกรโคโมโด สัตว์เลื้อยคลานชนิดนึงที่หน้าตาละม้ายคล้ายตั่วเฮียหรือวรนุชในบ้านเรา แต่เก๋ากว่าตรงที่ไม่สามารถพบเจอได้ตามสวนสาธารณะหรือประเทศอื่นๆ เพราะพวกมันอาศัยอยู่ใน 4 เกาะของประเทศอินโดนีเซีย บริเวณอาณาเขตของหมู่เกาะในทะเลซุนดาน้อยเท่านั้น! ฉะนั้นถ้าอยากเห็นมังกรโคโมโดด้วยตาตัวเองก็ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาดูที่อินโดนีเซียนาจา

แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งทำหน้าสงสัยแล้วนึกในใจว่า ตูจะไปดูตั่วเฮียทำม๊าย ในเมื่อหน้าตามันก็เหมือนกับวรนุชในบ้านเรา เดินไปดูในสวนหลังบ้านก็ได้ป้ะ ; p เราอยากจะบอกว่าบริเวณที่เขาเรียกกันว่า หมู่เกาะในทะเลซุนดาน้อย (Lesser Sunda Islands) หรืออีกชื่อคือ นูซา เต็งการา (Nusa Tenggara) ไม่ได้มีแค่เกาะโคโมโดที่มีมังกรโคโมโดอาศัยอยู่เท่านั้นนะ แต่ยังมีเกาะและสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้มังกรโคโมโด เช่น เกาะปาดาร์ (Padar Island) ที่มีวิวสามอ่าวสุดพีค รวมไปถึง Pink Beach ที่เป็นจุด Snorkelling ดูปะการัง และมีหาดทรายสีชมพูสุดพาสเทลให้ขึ้นฝั่งไปเดินถ่ายรูปสวยๆ ด้วย .. โดยส่วนใหญ่เขาจะนิยมไปเที่ยวเกาะต่างๆ แบบ Boat Tour หรือล่องเรือออกไปนอนกลางทะเล แล้วตระเวนแวะเที่ยวไปเรื่อยๆ ตามโปรแกรม อาจจะ 3 วัน 2 คืนบ้าง หรือ 4 วัน 3 คืนบ้าง แล้วแต่บริษัททัวร์ แต่ใครที่มีเวลาน้อยและไม่ถนัดนอนบนเรือเท่าไร ก็สามารถไปเที่ยวเกาะทั้งหมดที่ว่าแบบ One Day Trip เหมือนเราก็ได้




เอาละ .. เกริ่นมาซะยาว โพสต์นี้เราจะมารีวิวการเดินทางไปเที่ยวเกาะโคโมโด เกาะปาร์ดา และพิงค์บีซ แบบละเอียดไว้เป็นข้อมูลให้ได้ตามรอยกัน เพราะรีวิวที่เป็นภาษาไทยยังมีค่อนข้างน้อย เราอยากสนับสนุนให้ลองไปเที่ยวเกาะอื่นๆ ในอินโดนีเซียนอกจากบาหลีบ้าง เพราะส่วนตัวแล้วเราตกหลุมรักทะเลอินโดมากกว่ามัลดีฟส์ซะอีกกก ว่าแล้วก็เริ่มเลยนะ .. ไปผจญภัยในทะเลอินโดนีเซียกัน!

เดินทางสู่ Labuan Bajo

ลาบวน บาโจ (Labuan Bajo) เป็นเมืองขนาดย่อมที่ตั้งอยู่บนเกาะฟลอเรส (Flores Island) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นเมืองตั้งต้นของคนที่ต้องการจะมาเที่ยวยังเกาะต่างๆ ของทะเลซุนดาน้อย แน่นอนว่ารวมถึงเกาะโคโมโดด้วย ซึ่งการเดินทางจากประเทศไทยนั้นยังไม่มีเที่ยวบินตรง ฉะนั้นจะต้องนั่งเครื่องไปลงที่บาหลีก่อน โดยจากบาหลีจะมีอยู่ประมาณ 3 สายการบินที่มีเที่ยวบินสู่เมืองบาบวน บาโจ

ทริปนี้เราวางแผนเที่ยวอินโดนีเซียทั้งหมด 8 วัน โดยนั่งแอร์เอเชียไปลงที่เกาะลอมบอก (Lombok) เปลี่ยนเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ เพราะจะแวะไปเที่ยวเกาะกิลี เมโน (Gili Meno Island) ก่อน หลังจากนั้นก็นั่งเรือไปบาหลี แล้วค่อยนั่งเครื่องบินของสายการบิน Nam Air ต่อไปลงที่เมืองลาบวน บาโจ 

สำหรับสายการบินสู่เมืองลาบวน บาโจ นอกจาก Nam Air แล้วก็จะมี Wings Air ซึ่งเป็นสายการบินในเครือของ Lion Air นั่นแล แล้วก็ Garuda Indonesia ที่มีราคาแพงสุด ส่วน Nam Air เองเป็นส่วนนึงของสายการบิน Sriwijaya Air ฉะนั้นเวลาจองจะต้องเข้าเว็บไซต์ของ Sriwijaya Air (sriwijayaair.co.id) โดยเหตุผลที่เราเลือก Nam Air ก็เพราะราคาถูกที่สุด (ถ้าไล่ตามราคาจะเป็นแบบนี้ค่ะ > Garuda Indonesia > Wings Air > Nam Air) แต่ดันใช้เครื่องบินลำใหญ่กว่า Wings Air ซะอีก ที่นั่งเป็นแบบ 3-3 อาจจะเก่าตามสภาพ แต่ก็รับได้ เพราะนั่งแค่ประมาณ 50 นาทีเท่านั้น แถมยังมีของว่างเป็นขนมปังและน้ำเปล่าให้อีกต่างหาก โดยราคาถึงแม้จะถูกสุดในสามสายการบิน แต่ก็ยังนับว่าแพงอยู่ดีสำหรับการบินแค่ประมาณ 50 นาที เพราะเราจองได้ที่ราคา ไป – กลับ 5,710 บาท/คน เฮือก! ถึงกับจุก 5555 แต่เราค่อนข้างจองแบบกระชั้นชิด (ล่วงหน้าประมาณไม่ถึงเดือน) ฉะนั้นถ้าใครจองล่วงหน้านานๆ อาจจะได้ราคาถูกกว่านี้ก็ได้นะ



แนะนำว่าขาไปให้เลือกที่นั่งฝั่งซ้าย เพราะเครื่องบินจะบินผ่านภูเขาไฟอากุง (Mount Agung) รวมไปถึงภูเขาไฟรินจานี (Mount Rinjani) ด้วย เป็นไฟลท์ที่เพลิดเพลินมาก เหมือนได้ทัวร์ชมภูเขาไฟเลย ถ่ายรูปภูเขาไฟจากบนเครื่อง ลั่นชัตเตอร์กันสนุกสนาน

ทริปนี้เรามีโอกาสได้ลองจับ DSLR ครั้งแรกด้วย หลังจากที่เป็นสาวก Mirrorless มาซะนาน ก็เลยถือโอกาสขยับตัวเองขึ้นมาอีกสเต็ป เพราะรู้ตัวแล้วละว่าชอบถ่ายรูปมากแค่ไหน เลยอยากพัฒนาตัวเอง อยากเรียนรู้อะไรที่เกี่ยวกับการถ่ายภาพให้มากกว่าเดิม โดยกล้องที่เราพกไปในทริปนี้ด้วยคือ Canon EOS 1500D กล้องถ่ายรูป DSLR ตัวใหม่ล่าสุดของหนอนที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี่เอง

โดยกล้อง Canon EOS 1500D รุ่นนี้เนี่ยเขาเคลมว่าเป็นกล้อง DSLR สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นหัดเล่นกล้อง DSLR อ้าว .. นี่มันเราเลยนี่หว่า โอ๊ย เหมาะเหม็งมาก ข้อดีที่เราชอบมากที่สุดก็คือ กล้องมีน้ำหนักเบา ถึงแม้จะเป็น DSLR ก็ตาม ตัวบอดี้ยังมีขนาดพอดีมือ เวลาสาว (ไม่) น้อยอย่างเราถือแล้วรู้สึกว่าไม่ใหญ่เกินตัว เหมาะสำหรับเลดี้ดีเหมือนกัน แถมตรงช่องจับสำหรับกดชัตเตอร์ยังดีงามมากกก ถือง่าย กดง่าย รวมไปถึงมีฟิลเตอร์ต่างๆ สำหรับการถ่ายรูปแบบอัตโนมัติ เช่น โหมดพอร์ตเทรต โหมดธรรมชาติ ฯลฯ เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งหัดถ่ายรูปจริงจัง อยากลองขยับจากสมาร์ทโฟนหรือ Mirrorless ขึ้นมาเป็นกล้อง DSLR โดยเฉพาะสายออโต้แบบเราที่ชอบสแนปภาพเวลาที่ต้องเที่ยวแบบเร็วๆ ไม่มีเวลามากพอจะมาเซ็ตค่าต่างๆ ก็สามารถเลือกโหมดอัตโนมัติเตรียมไว้ได้เลย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Canon EOS 1500D รุ่นนี้ก็มีโหมดถ่ายภาพมาให้แบบครบครันนะ ฉะนั้นถ้ามีเวลาช่วงเย็นๆ เราก็ชอบที่จะปรับโหมดแมนนวล แล้วถ่ายแสงเย็นแบบใจเย็นๆ มากกว่า เวลาถ่ายภาพแลนด์สเคปที่ต้องการมุมกว้างๆ ก็หยิบเลนส์ไวด์ Canon EF-S 10-18mm. f/4.5-5.6 IS STM ขึ้นมาเปลี่ยน ซึ่งทริปนี้เราพกเลนส์ซูม Canon EF-S 55-250mm F/4-5.6 IS STM ไปด้วย พูดเลยว่าเหมาะเหม็งมากกก โดยเฉพาะบนเกาะโคโมโด เลนส์ซูมนี่กลายเป็นฮีโร่ เพราะสามารถใช้ถ่ายเจาะตัวมังกรโคโมโดแบบใกล้ๆ ได้ โดยที่ตัวเรายังหลบอยู่หลังไกด์แบบปลอดภัย 5555 

อ้อ อีกอย่างคือ ตัวกล้องยังรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน Wi-Fi ซึ่งสามารถสั่งถ่ายภาพจากระยะไกลผ่านแอปพลิเคชั่น Canon Camera Connect ได้ด้วย เวลาไปเที่ยวกันเป็นคู่นุ้งนิ้งแล้วอยากมีรูปคู่ หรือไปเที่ยวคนเดียวแล้วอยากมีรูปเดี่ยวเท่ๆ ก็สามารถตั้งกล้องแล้วสั่งกดแชะผ่านแอปฯ ได้เลย เรียกว่าเหมาะกับคนชอบเที่ยวเป็นอย่างยิ่งเลยละ สำหรับกล้อง Canon EOS 1500D ตัวนี้ : )




ที่พักใน Labuan Bajo

ในลาบวน บาโจ ไม่ค่อยมีตัวเลือกเรื่องที่พักมากเท่าไร แนะนำว่าอย่าย่ามใจและจองที่พักแบบกระชั้นชิดมากเกินไป เพราะฝรั่งนิยมมาเที่ยวเกาะโคโมโดกันมาก รวมไปถึงคนอินโดนีเซียเองก็มากมายไม่แพ้กัน โดยทริปนี้เราเลือกพักที่โรงแรม La Cecile Hotel & Cafe เป็นโรงแรมใหม่ เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน และตอนนี้กำลังต่อเติมซึ่งคาดว่าน่าจะมีเพิ่มมาอีกหลายห้อง

เราจองได้ห้องชั้นล่าง วิวสวนหย่อม ซึ่งเสียดายมากกก ที่จองไม่ทันห้องชั้นบนที่เป็นวิวทะเล เพราะโรงแรมนี้เจ๋งที่วิว สร้างอยู่บนพื้นที่สูงกว่าโรงแรมอื่นๆ และตั้งอยู่ใกล้สนามบินมากกกกกกกก นั่งรถแค่ประมาณ 10 นาทีถึง เข้าใจว่าคงเป็นคาเฟ่และร้านอาหารที่คนลาบวน บาโจ นิยมมาดูพระอาทิตย์ตก เพราะตอนเย็นคนเพียบเลย

ราคาตอนที่จองคือ 2 คืน 3,900 บาท จองผ่าน Agoda ระบุไว้ว่าจะไปถึงสนามบินตอน 15.05 น. ถ้ามีบริการรถรับ – ส่ง ช่วยส่งรถมารับด้วย เพราะอ่านเจอใน Booking ว่ามีรถรับส่งฟรี แต่ใน Agoda ไม่ระบุไว้ว่าฟรี (แต่ราคาห้องใน Agoda ถูกกว่า) แถมพอกดจองไปเสร็จสรรพ โรงแรมก็ไม่ส่งอีเมลกลับมาแจ้งเรื่องรถรับ – ส่งเพิ่มเติม ก็เลยคิดว่าคงไม่มีล่ะมั้ง เดี๋ยวค่อยไปดูหน้างานอีกที ปรากฏว่าไฟลท์ดีเลย์มากกกก เดินออกมา พยายามสอดส่ายสายตาคนที่มาถือป้ายรอรับก็ไม่เจอป้ายชื่อของโรงแรม ก็เลยจำใจต้องไปแท็กซี่ ซึ่งแท็กซี่ที่มาออกันอยู่หน้าสนามบินเนี่ยก็คนธรรมดานี่แหละ อารมณ์เหมือนมาส่งญาติแล้วรอรับคนกลับไปด้วยจะได้ไม่มาเสียเที่ยว 555 เพราะเห็นส่วนใหญ่จะมายืนกัน 2 คน พอเรียกแขกได้แล้ว คนนึงก็วิ่งไปเอารถ อีกคนก็ยืนรอกักตัวเหยื่อ (แบบเรา) ไว้ พอคนขับรถมาจอดปุ๊บก็ขึ้นรถกันมา 2 คน อ้าวเฮ้ย แบบนี้ก็ได้หรอ 555

แต่คนอินโดนีเซีย แม้ภายนอกจะดูน่ากลัวแต่จริงๆ แล้วไม่เป็นแบบนั้นนะ ก่อนมาเราก็นึกภาพไว้ว่าคนอินโดต้องน่ากลัว ดิบ เถื่อน ต้องโกง เพราะอ่านรีวิวมาเยอะ ปรากฏว่าพอมาเจอกับตัวเองไม่มีใครที่เป็นแบบนั้นเลย คนอินโดที่เราเจอ 98% คือ สุภาพ อ่อนน้อม เฟรนด์ลี่มากกว่าที่คิดไว้มากๆ โดยเฉพาะทริปโคโมโดนี่ต้องเรียกว่าวัดใจ เพราะแท็กซี่ที่ขึ้นรถมาด้วยนั้นคือหน้าตาไม่น่าไว้วางใจเป็นอย่างมาก 555 แต่พอขึ้นมานั่งแล้วเขาก็ชวนคุยด้วยดี ถามเราว่ามาจากไหน พอบอกว่าไทยแลนด์ เขาก็บอกว่ามีเพื่อนเป็นคนภูเก็ต มาที่นี่ 6 ครั้งแล้ว บลาๆ ก็ชวนคุยแบบเฟรนด์ลี่ปกติมาก

เราตกลงราคากันที่ 50,000 IDR (ประมาณ 115 บาท) ซึ่งอ่านเจอมาว่าไม่ควรเกินกว่านี้ เพราะ 50,000 รูเปียห์ นี่ก็แพงมากแล้วแหละ แต่พอไปถึงโรงแรมปั๊บ แจ้งชื่อกับพนักงานที่เคาน์เตอร์เช็คอิน พนักงานถึงกับทำหน้างง เพราะเขาส่งคนไปรับที่สนามบินตามที่แจ้งมาทาง Agoda เอ๊า! ซะงั้นนนน .. งานนี้ก็เลยเสียค่าแท็กซี่ไปฟรีๆ 50,000 รูเปียห์ T^T ฉะนั้นถ้าใครจะพักที่โรงแรมนี้เหมือนเรา ทางโรงแรมมีรถรับ – ส่งฟรีจากสนามบินเด้อออ อย่าเสียค่าโง่เหมือนเรา ก่อนไปก็ส่งอีเมลไปคอนเฟิร์มเวลากับเขาให้เรียบร้อยก่อนไปถึงได้เลย > Click <




ทีเด็ดอีกอย่างของโรงแรมนี้คือสระว่ายน้ำนี่แหละ ถึงแม้จะไม่ใช่สระใหญ่โตมากมาย แต่ก็เรียกว่าเป็น Infinity pool ที่วิวงามมากทีเดียว โรงแรมสงวนสิทธิ์สระว่ายน้ำนี้สำหรับคนเข้าพักเท่านั้น ฉะนั้นก็ค่อนข้างเป็นส่วนตัวพอประมาณ ถึงแม้จะตั้งอยู่ใกล้ๆ กับร้านอาหารของโรงแรมก็ตาม : )

Tour to Komodo Island

เราพักที่นี่ 3 วัน 2 คืน โดยวันแรกที่มาถึงนั้นทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งดูวิวพระอาทิตย์ตกสวยๆ จากโรงแรม ส่วนวันรุ่งขึ้นเป็นวันแห่งการผจญภัย! แต่ทริปนี้ก็เป็นทริปวัดใจอีกแล้ว เพราะทัวร์ที่เราเลือกนั้นค่อนข้างไม่น่าไว้ใจในตอนแรก เนื่องจากไม่ใช่บริษัทที่มีหลักมีแหล่ง แต่ออกแนวเป็นเหมือนคนอินโดนีเซียที่ทำกันเอง แล้วว่าจ้างเพื่อนพ้องให้นำเรือออกไปแบบชาวบ้านๆ มากกว่า

โดยขั้นตอนในการเลือกทัวร์เนี่ยเป็นอะไรที่ปวดหัวมากกกกกกกกก เพราะมีทัวร์เยอะแยะมากมายให้เลือกเป็นสิบๆ ทัวร์ อันที่จริงจะไปเดินหาเอาวันที่ไปถึงก็ได้นะ ตรงบริเวณท่าเรือซึ่งเป็นตัวเมืองของลาบวน บาโจ จะมีโต๊ะทัวร์ตั้งอยู่เป็นแถวๆ แต่เราค่อนข้างซีเรียสว่าอยากลงไปเดินบนหาดทรายสีชมพูที่ Pink Beach เพราะบางทัวร์ก็ไม่พาไป จะพาไปปล่อยไกลๆ จากฝั่งเพื่อให้ดำน้ำแบบ Snorkelling ดูปะการังเท่านั้น และถึงแม้การไปเลือกซื้อทัวร์จากโต๊ะทัวร์ที่ลาบวน บาโจ แล้วไปกันแบบ Join Tour อาจจะราคาถูกกว่า แต่เราก็อยากหาข้อมูลให้ชัวร์ว่ามันจะมีทัวร์ไหนไหมน้า ที่ค่อนข้าง Private และเราสามารถกำหนดทิศทางของทัวร์ได้มากกว่าไปแบบโปรแกรมทัวร์ร่วมกับคนอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าราคา Private ทัวร์นั้นแพงหูฉี่กว่า Join Tour มากๆๆๆๆ จากที่ส่งอีเมลไปถาม บางเจ้านี่เป็นหมื่นเลยทีเดียว

เรือลำนี้แหละ ที่จะพาเราไปผจญภัยในทะเลอินโดนีเซีย

เราหาอยู่หลายวันจนเกือบจะถอดใจแล้วก็เจอกับรีวิว Komodo Island ใน Tripadvisor ของ Tours to Komodo ซึ่งรีวิวใน Tripadvisor ค่อนข้างเป็นบวก ถึงแม้จะมีคนรีวิวอยู่ไม่เยอะ ลองเข้าไปดูในเว็บไซต์ก็มีโปรแกรมทัวร์ตามที่ใจเราอยากจะไปก็เลยลองส่งอีเมลไปถามราคา Join Tour และ Private Tour ปรากฏว่าตอบกลับมาเร็วมากก (ผิดกับบางทัวร์ที่ส่งอีเมลไปถามแล้วไม่ตอบกลับเลยก็มี) แจ้งว่าราคาแบบ Private คือ 3,500,000 IDR หรือประมาณ 8,000 บาท ราคารวมรถรับ – ส่งจากที่พัก อาหารกลางวัน แล้วก็เรือส่วนตัวพร้อมไกด์ที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เราคิดอยู่นานพอประมาณ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจจองเจ้านี้ไป เพราะ Ryan ซึ่งนางเป็นวัยรุ่นอินโดที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์และคอยจัดหาเรือให้นักท่องเที่ยวเนี่ย ตอบอีเมลเร็วเวอร์ ถามอะไรไปก็ตอบกลับมาทันที เหมือนนางว่างและไม่มีอะไรทำ 5555 แต่ที่ตัดสินใจจองเพราะเห็นว่าคุ้มค่ากับการได้เรือส่วนตัวและสามารถจัดสรรเวลาได้เองโดยที่ไม่ต้องเกรงใจคนอื่น เราว่ายิ่งไปกันหลายคนจะยิ่งหารกันคุ้ม ส่วนตัวเราก็ว่าคุ้มค่าและไม่เสียดายเงินที่เสียไปเลยสักนิด เพราะทริปนี้มันดีต่อใจเรามากกกก

** อัพเดทราคาล่าสุดจาก Ryan เจ้าของ Tours to Komodo (ปี 2019) เดินทางแบบ Private ราคา 4,600,000 IDR ราคานี้รวมค่าเข้า Komodo Island National Park แล้วจ้า ราคาตอนที่เราไปนั้นยังไม่รวม ต้องไปเสียค่าเข้าดูมังกรโคโมโดเพิ่มเองที่หน้าอุทยานค่ะ **

ปล. ใครสนใจทัวร์ Komodo Island แล้วอยากปรับแผนอื่นๆ เช่น อยากนอนบนเรือ หรือถามราคาเพิ่มเติม ลองส่งอีเมลไปถามที่ Ryan โดยตรงเลยได้นะ > [email protected] หรือ Whatsapp +6281 338 984 238 นางตอบกลับเร็วมากกกกกกก เร็วเหมือนแชทอ่ะ 555 ซึ่งจริงๆ แล้ว คนอินโดเขาจะนิยมเล่น WhatsApp กัน แต่บ้านเราเล่น Line อ่ะเนอะ ฉะนั้นสื่อสารกันผ่านอีเมลน่าจะง่ายที่สุดละ หรือจะลองหาทัวร์อื่นๆ ทาง Google ก่อนก็ได้ มีหลายทัวร์มากกกกกกกกกกก ถ้าไปแบบ Join Tour เป็น One Day Trip (คนอินโดเรียก Open Trip) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 – 2,500 บาท/คน อาจจะมากกว่านี้ แล้วแต่โปรแกรมทัวร์ แต่ไม่ควรเกิน 3,000 บาท/คน เพราะเพิ่มอีกนิดหน่อยก็ไป Private ได้แล้วว ทางเลือกสุดท้ายคือไปเดินถามเอาตามโต๊ะทัวร์แถวท่าเรือ วิธีนี้ก็อาจจะมีโอกาสได้ต่อรองราคามากกว่าอีเมล แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ไป เพราะเมืองเนี่ยเหมือนทำทัวร์เป็นอาชีพโอท็อปอ่ะ 5555 เขามีการแข่งขันกันสูงมาก ยังไงก็อยากได้ลูกค้าอยู่แล้ว เพียงแต่ควรดูพยากรณ์อากาศให้ดีๆ อย่าดื้อเสี่ยงออกไปถ้าฟ้าฝนไม่เป็นใจ เพราะทะเลฟลอเรสมีช่วงที่คลื่นแรงมาก แม้จะไม่มีพายุเข้าก็ตาม




1 วันผจญภัยในทะเลฟลอเรส

ตื่นตั้งแต่เช้า ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมตัวมาก เพราะอาบน้ำรอไว้ตั้งแต่เมื่อคืนอยู่แล้ว 555 สักประมาณตี 5 ครึ่ง ไรอันก็มารับที่โรงแรมพาไปส่งที่ท่าเรือ แต่นางไม่ได้ลงเรือไปด้วย แนะนำเพื่อนมาให้ 1 คน บอกว่าจะดูแลยูแทนไอ เราจำชื่อไม่ได้ แต่ตัวเล็กๆ และหน้าตาละม้ายคล้ายเจ ชนาธิป 555 สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีพอตัว เทคแคร์เราทุกอย่างเป็นอย่างดี แถมถ่ายรูปสวยอีกต่างหาก สามารถจ้างวานถ่ายได้สบาย แต่ก่อนขึ้นเรือแอบมีเสียวว่าตูเจอทริปวัดใจอีกแล๊ว เพราะนอกจากคนขับเรือ ผู้ช่วย และเพื่อนไรอันแล้ว ยังมีชายฉกรรจ์ไม่ทราบชื่ออีก 2 คนติดตามมาด้วย เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพื่อนของเพื่อนของไรอันอีกที อารมณ์ประมาณว่าขอติดเรือไปเที่ยวด้วยนะ 5555 เลยแอบคิดนิดๆ ตอนแรกว่า นี่จะพาตูออกทะเลไปขายหรือเปล่าเนี่ยยย แต่สุดท้ายก็โอเค เพราะเขาไม่ได้มารบกวนอะไรเรา ก็ดี ไปหลายๆ คนจะได้ไม่เหงา แฮร่

ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงเห็นจะได้ ก็จะถึงเกาะปาดาร์ (Padar Island) ตอนแรกคิดว่าระหว่างทางน่าจะเบื่อ เพราะเคยออกทริปที่ต้องนั่งเรือนานๆ คือง่วงเวอร์ แต่วิวของทะเลอินโดสวยจริงๆ ระหว่างทางที่นั่งเรือไป ผ่านเกาะเยอะมากกก เรียกว่าแทบไม่มีช่วงไหนเลยที่ร้างเกาะ สมแล้วที่เป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ทีเด็ดอยู่ที่ช่วงพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า โอ๊ย สวยมากกกกกกกกก เรือที่ไรอันหามาให้ก็เป็นเรือใหญ่พอสมควร มีดาดฟ้าเล็กๆ ที่ชั้นบน สามารถขึ้นไปนั่งชมวิวได้ มีห้องน้ำ แล้วก็มีเสื้อชูชีพ ฉะนั้นก็สบายใจไปได้เปราะนึงว่าเลือกทัวร์ไม่ผิด

เราใส่เลนส์ไวด์ไว้ตลอด เพราะอยากได้ภาพมุมกว้างๆ แล้วก็เตรียมกระเป๋ากันน้ำไปด้วยเพราะมีบทเรียนจากตอนที่กล้องตัวเดิมโดนน้ำทะเลซัดจนอ๊อง ซึ่งเราว่ามันเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากนะสำหรับการไปเที่ยวทะเล โดยเฉพาะทริปที่ต้องออกเรือแบบนี้ เพราะช่วงก่อนถึงเกาะปาดาร์คือคลื่นแรงมากแม่เอ๊ยยยยยยย แรงมากกกกกกก บิ๊กเวฟมากกกกกกกก น้ำนี่กระเด็นสาดโดนหน้าจนเปียกเหมือนโดดลงน้ำมาแล้ว 3 รอบ ได้แต่ท่องนโมไว้ในใจว่าว่าขอให้รอด ขอให้รอด พอพ้นจากช่วงคลื่นแรงนี่อยากจะลุกขึ้นชูมือแล้วบอกว่า รอดแล้วโว้ยยยยยยยย ฉะนั้นถ้าใครเมาเรือก็อย่าลืมเตรียมยาไปด้วยเด้อ

ไฮไลท์ของเกาะปาดาร์คือวิวสามอ่าวสุดเท่ ที่ต้องใช้เรี่ยวแรงในการเดินขึ้นไปถ่ายรูปกันหน่อยนะ เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะวันที่เราไปมันประจวบเหมาะพอดีหรือเปล่า เพราะคนอินโดมาเที่ยวกันเยอะมาก แต่ก็ไม่แปลกใจเพราะวิวสวยมากกก แล้วก็มีอยู่อ่าวนึงที่เป็นหาดทรายสีชมพูด้วย แต่ไม่ใช่ Pink Beach ที่เราจะไป เพราะ Pink Beach ที่เราไปมา ต้องนั่งเรือจากเกาะปาดาร์ไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง

นี่ไง Pink Beach แห่งเกาะปาดาร์

พอมาถึง Pink Beach เราก็ถามเพื่อนไรอันให้แน่ใจอีกทีว่าสามารถขึ้นไปเดินบนชายหาดได้ไหม นางบอกว่าได้ แต่เรือไม่สามารถเข้าไปจอดเทียบได้ เพราะท้องเรือจะโดนปะการังเสียหาย ฉะนั้นยูต้องว่ายน้ำเข้าไป อ้ะ .. ว่ายก็ว่าย เพราะส่องดูแล้วก็ดูไม่ไกลเท่าไร แต่ที่ไหนได้ .. คลื่นวันนั้นค่อนข้างแรง ก็เลยทุกลักทุเลพอสมควรกว่าจะว่ายเข้าไปถึงฝั่ง แต่ปะการังแถวนั้นสวยแล้วก็เยอะอลังการดี เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา อัดมาแต่คลิป เพราะเอากล้องอะไรติดตัวไปไม่ได้เลยนอกจาก Gopro รูป Pink Beach ก็เลยมาจาก Gopro ล้วนๆ เลย



หาดทรายสีชมพูนี้เกิดจากเศษปะการังสีแดงที่รวมกับทรายสีขาวที่โคตรนุ่ม! เฮ้ย มันนุ่มจริงๆ นะ นุ่มเหมือนเดินบนแป้งที่เขานวดเพื่อเอามาทำขนมปังอ่ะ เวลาแสงแดดสะท้อนลงมาจะทำให้มองเห็นเป็นหาดทรายสีชมพู พาสเทลมุ้งมิ้งมาก แต่รูปที่เห็นนี้มีการดึงสีขึ้นนิดหน่อยเพื่อความสวยงามน้า แต่พูดเลยว่าของจริงสวยกว่ามากกกกกกก พิสูจน์มาแล้วว่ามันเป็นสีชมพูจริงๆ ไปเหอะ .. คุ้ม เชื่อเรา เพราะมันสวยจริงๆ น้ำทะเลก็ใสมากกกกกกก ยิ่งถ้าใครพกโดรนไปด้วยนะ อือหือ พีค!

แถว Pink Beach มีแนวปะการังที่ค่อนข้างสวยเลยทีเดียว อาจจะไม่ค่อยมีปลาเล็กปลาน้อยให้ดูเท่าไร แต่สามารถ Snorkeling ได้แบบเพลินๆ

จบจาก Pink Beach เรือก็ขับต่อไปหามังกรโคโมโดววว โดยเราจะไปดูมังกรโคโมโดกันที่เกาะรินจา (Rinca Island) ไม่ใช่ Komodo Island เพราะในอินโดนีเซียจะมีอยู่ประมาณ 4 เกาะที่มีโคโมโดอาศัยอยู่ ซึ่งมี 2 เกาะที่มีคนอยู่ด้วย คือ Rinca Island กับ Komodo Island ส่วนอีก 2 เกาะนั้นเป็นบ้านของโคโมโดเพียวๆ เลย เพื่อนไรอันบอกว่าโคโมโดบน 2 เกาะนั้นอันตรายมาก ไม่ควรเข้าไปเด็ดขาด ส่วนอีก 2 เกาะที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมก็ต้องจ้างไกด์ดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะนอกจากไกด์จะอธิบายเรื่องราวต่างๆ ของมังกรโคโมโดให้เราฟังแล้ว ยังถือไม้ไปคอยรักษาความปลอดภัยให้เราด้วย เนื่องจากมังกรโคโมโดเป็นสัตว์กินเนื้อ เรียกว่ากินทุกอย่างที่ขวางหน้าเลยดีกว่า ที่สำคัญน้ำลายของมันมีเชื้อแบคทีเรียอยู่มากกว่า 50 ชนิด ถ้าถูกกัดขึ้นมาจะเกิดอาการโลหิตเป็นพิษ ทิ้งไว้ไม่เกิน 3 วันก็จะสิ้นลมกันเลยทีเดียว

เราเคยอ่านข่าวเจอว่ามีคนสิงคโปร์โดนโคโมโดกัดเพราะฝ่าฝืนกฎไปเที่ยวชมโคโมโดด้วยตัวเองโดยอาศัยไปพักอยู่ที่บ้านชาวบ้านเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียตังค์ค่าเข้าอุทยาน เพราะค่าเข้านี่ก็ราคาถือว่าแพงเลยนาจา คนละ 250,000 รูเปีย หรือประมาณ 570 บาท แต่เราว่าโอเคนะ แลกกับการได้เห็นสัตว์ที่ไม่สามารถเห็นที่ไหนได้อีกแล้วในโลก เพราะนอกจากการดูมังกรโคโมโดแล้ว ไกด์จะพาเดิน Trekking ด้วย สามารถเลือกได้ว่าจะเดินระยะสั้นหรือระยะยาว ซึ่งแนะนำว่าให้เดินระยะสั้นเถอะ เพราะมังกรโคโมโดมีให้ดูอยู่ไม่กี่ตัวตรงต้นอุทยานนั่นแหละ ระหว่างทางที่เทรคไม่เจอเลย แต่ไกด์บอกว่าช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูของมัน ฉะนั้นที่ยูได้เห็นนั่นก็บุญตาแล้วนาจา (เติมเอง 555)

ควายที่นี่ตัวใหญ่มากกก นึกสงสัยว่าโคโมโดมันกินไปได้ยังไง เพราะเคยอ่านเจอมาว่าปกติมังกรโคโมโดจะกินเหยื่อโดยกลืนลงไปเลยทั้งตัว!

เราเจอมังกรโคโมโดอยู่ประมาณ 4 ตัว แถมยังเป็นรุ่นลูกๆ อยู่เลย เพราะตัวโตสุดที่เห็นคืออายุประมาณ 10 ปี แต่โคโมโดจะโตเต็มวัยที่อายุ 15 ปี และสามารถมีอายุยืนยาวได้มากกว่า 50 ปีเลยเชียวนา เพราะฉะนั้นที่เจอมาเนี่ย เด็กน้อยมาก 555

ตัวนี้ ไกด์บอกว่าอายุประมาณ 2-3 ปี

ใครเป็นสายถ่ายรูป แนะนำว่าพกเลนส์ซูมไปด้วยนะ เพราะจะได้ถ่ายเจาะโคโมโดแบบใกล้ๆ เราเอง พอลงถึงเกาะก็งัดเลนส์ซูมขึ้นมาเปลี่ยนเหมือนกัน ส่องสัตว์กันสนุกสนานเลย เพราะระหว่างทางที่เดินเทรคกิ้งนั้นไกด์จะชี้บรรดาอาหารต่างๆ ของโคโมโดให้ดูด้วย ซึ่งก็คือสัตว์ทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้แล ทั้ง ควาย ลิง กวาง แล้วก็หมูป่า ล้วนเป็นอาหารของมังกรโคโมโดแทบทั้งสิ้น แต่ไกด์บอกว่าหมูป่านี่ของโปรด โคโมโดชอบมากๆ เรียกว่าเป็นอาหารอันโอชะเลยทีเดียวเชียว!

ก่อนกลับลาบวน บาโจ เพื่อนไรอันพาไปแวะเที่ยวอีกเกาะนึงใกล้ๆ เกาะฟลอเรส ที่ตั้งของเมืองลาบวน บาโจนั่นแล แต่เราจำชื่อเกาะไม่ได้จริงๆ เกาะนี้น้ำใสแล้วก็สามารถ Snorkelling ได้ แต่ก็ใสสู้แถว Pink Beach ไม่ได้ แต่ทริปนี้ทำให้เราเปลี่ยนมุมมองที่มีต่ออินโดนีเซียไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย ทำเอาเราตกหลุมรักทะเลอินโดมากๆ น้ำทะเลที่นี่ใสไม่แพ้มัลดีฟส์ แต่มีกิจกรรมให้ทำเยอะกว่า บางเกาะมีภูเขาไฟที่ยังแอคทีฟ เจอโลมากลางทะเลโดยที่ไม่ต้องซื้อทัวร์ออกไปดูเพิ่มเหมือนที่มัลดีฟส์ โดยส่วนตัวรู้สึกว่าธรรมชาติของอินโดนีเซียยัง Fresh มากๆ ค่าครองชีพก็ไม่แพง เดินทางจากไทยไปไม่นาน แถมคนอินโดนีเซียก็น่ารัก เฟรนด์ลี่กว่าที่คิด ถึงแม้ภายนอกจะดูน่ากลัว แต่พอคุยด้วยแล้วคืออ่อนน้อม สุภาพแทบทุกคน เรียกว่าเป็นทริปที่ประทับใจ รู้สึกอยากกลับไปซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง เพราะยังมีอีกหลายเกาะที่อยากไป .. เก็บตังค์แพล่บ แล้วเดี๋ยวเจอกันใหม่นะ อินโดนีเซียยย : )



บทความก่อนหน้านี้
บทความถัดไป
Niichiiz *
Niichiiz *https://movearound-journey.com
IG : https://www.instagram.com/niichiiz13

Related Stories

Discover

รวม 10 พิกัด ที่เที่ยวเซี่ยงไฮ้ ถ่ายรูปสวยชิค

หลังจากจีนฟรีวีซ่าก็ทำเอาเราหยุดเที่ยวจีนไม่ได้เลย หลงเสน่ห์ประเทศนี้เข้าเต็มเปา! ใครที่กำลังลังเลใจ กล้าๆ กลัวๆ ว่าจะไปเที่ยวจีนด้วยตัวเองครั้งแรกดีมั้ย? แนะนำลองจองตั๋วบินไปเที่ยว “เซี่ยงไฮ้” ก่อนเป็นที่แรกเลยค่ะ เพราะเที่ยวง่าย การเดินทางสะดวกสบาย มีรถไฟใต้ดินไปถึงทุกที่ บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน ไฮเทค...

วิธีขึ้นรถไฟความเร็วสูงประเทศจีน สำหรับเดินทางข้ามเมือง

หลังจากจีนฟรีวีซ่าให้คนไทยได้เข้าไปเที่ยวประเทศจีนอย่างสะดวกโยธินมากยิ่งขึ้นแล้ว เชื่อว่ามีสายเที่ยวหลายคนที่กำลังเมียงมองประเทศจีนไว้เป็นหนึ่งใน Destination List อาจจะตั้งคำถามว่า เที่ยวจีนด้วยตัวเองยากมั้ย? เราอยากจะย้ำความมั่นใจให้ว่า "เที่ยวจีนด้วยตัวเองไม่ยากอย่างที่คิด" เลยค่ะ โพสนี้เราก็เลยอยากมาแชร์ วิธีขึ้นรถไฟความเร็วสูงประเทศจีน ไว้ให้เป็นข้อมูล สำหรับคนที่มีแพลนอยากไปเที่ยวจีนด้วยตัวเอง อยากจะบอกว่าการเดินทางไปเมืองใกล้เคียงด้วยรถไฟความเร็วสูงนั้นเป็นวิธีที่คนจีนใช้กันเป็นเรื่องปกติมากๆ...

รีวิว ซัวเถา (Shantou) กิน เที่ยว มู รับเฮงปีมังกร 3 วัน...

ยินดีกับนักท่องเที่ยวไทยทุกคนที่กำลังจะมีประเทศฟรีวีซ่าให้เที่ยวเพิ่มอีกหนึ่งประเทศแล้ววว นั่นก็คือ “ประเทศจีน” นั่นเอง โพสนี้ก็เลยจะขอพาไปเปิดม่านเมือง "ซัวเถา" บ้านเกิดของคนไทยเชื้อสายจีนในอดีตที่โล้สำเภาเดินทางแบบเสื่อผืนหมอนใบมาตั้งรกรากในประเทศไทย จะขอพาไป กิน เที่ยว มู ในเมืองซัวเถา และแต้จิ๋ว หนึ่งในที่เที่ยวเมืองจีนที่เหมาะสำหรับคนที่เริ่มต้นเที่ยวเมืองจีนด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกแบบเราที่สุด...

รีวิว Sea Season Pool Villas ที่พักสวยติดทะเลพัทยา

วันหยุดว่างๆ ทีไร เราล่ะชอบพาตัวเองไปพักผ่อนชิลๆ ที่พัทยามากจริงๆ อาจเพราะเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปไม่ไกล ก็ได้นั่งมองทะเลสวยๆ แล้ว โพสนี้ก็เลยอยากมารีวิวที่พักติดทะเลพัทยาที่เพิ่งไปมาแล้วชอบมากอย่าง Sea Season Pool Villas Pattaya...

รีวิว เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) อัพเดทมุมถ่ายรูปชิค

นี่คือการมาเที่ยว “เซี่ยงไฮ้” ประเทศจีน เป็นครั้งแรกในชีวิตของเรา อยากจะบอกว่าเปิดมุมมองมากกก เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองไวบ์ดีกว่าที่คิด ไลฟ์สไตล์ของที่นี่ก็ชิลสุดอะไรสุด บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะ ที่สำคัญคือเป็นประเทศจีนที่เที่ยวง่ายมากค่ะ มีรถไฟใต้ดินหลายสาย การเดินทางไม่ซับซ้อน คนจีนที่นี่ส่วนใหญ่สื่อสารภาษาอังกฤษง่ายๆ...

แผนเที่ยวฟุกุอิ (Fukui) ดื่มด่ำธรรมชาติ ย่ำรอยประวัติศาสตร์ ในเมืองสุดอันซีนของญี่ปุ่น

แผนเที่ยวฟุกุอิ เล่มนี้ จะพาคุณนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปสูดกลิ่นอายอดีต ย่ำรอยประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหาของแดนปลาดิบ พร้อมดื่มด่ำกับธรรมชาติให้ฉ่ำปอด ในจังหวัดสุดอันซีนที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทรงเสน่ห์อย่าง ‘ฟุกุอิ’ ฟุกุอิ เป็นจังหวัดที่มีเสน่ห์หลายหลากซุกซ่อนไว้อย่างคาดไม่ถึง ที่นี่เป็นที่ตั้งของศูนย์กลางการวิจัยฟอสซิลไดโนเสาร์ ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง ‘Fukui Prefectural Dinosaur Museum’...

Popular Categories

Comments

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่