ยินดีกับนักท่องเที่ยวไทยทุกคนที่กำลังจะมีประเทศฟรีวีซ่าให้เที่ยวเพิ่มอีกหนึ่งประเทศแล้ววว นั่นก็คือ “ประเทศจีน” นั่นเอง โพสนี้ก็เลยจะขอพาไปเปิดม่านเมือง “ซัวเถา” บ้านเกิดของคนไทยเชื้อสายจีนในอดีตที่โล้สำเภาเดินทางแบบเสื่อผืนหมอนใบมาตั้งรกรากในประเทศไทย จะขอพาไป กิน เที่ยว มู ในเมืองซัวเถา และแต้จิ๋ว หนึ่งในที่เที่ยวเมืองจีนที่เหมาะสำหรับคนที่เริ่มต้นเที่ยวเมืองจีนด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกแบบเราที่สุด เพราะใกล้ไทยแค่นิสเดียว บินแว้บเดียว 3 ชั่วโมง ถึงเลยย!
“ซัวเถา” หรือที่คนจีนเรียกกันว่า “Shantou” ใครๆ เขาก็บอกว่าเป็นเมืองเยี่ยมญาติ อันที่จริงซัวเถาเป็นมากกว่าเมืองเยี่ยมญาตินะ เพราะมีที่เที่ยวหลากหลายกว่าที่คิด มี Old Town Street ไว้เดินเล่น ถ่ายรูปสวยๆ เป็นไวบ์เมืองเก่าแบบเซี่ยงไฮ้เลย แถมยังมีคาเฟ่ชิคๆ อีกเพียบ!
นอกจากที่เที่ยวไวบ์ดีแล้ว ที่ซัวเถายังเป็นเมืองยอดฮิตของสายมูอีกด้วย ได้ยินเขาบอกกันว่าเจ้าสัวดังๆ ในเมืองไทยหลายคนก็นิยมมามูกันที่ซัวเถานี่ล่ะค่ะ แน่นอนว่าโพสนี้เราก็จะพาไปตามรอยเจ้าสัวกันด้วย จะได้เฮงเฮงรับปีมังกรปีนี้กันน้า
สายมูเตรียมตัว เตรียมจด เตรียมตามรอยเลยนะ กลับจากทริปนี้เราต้องปัง!
การเดินทางไปเมือง ซัวเถา (Shantou)
การเดินทางไปเมืองซัวเถานั้นสะดวก ง่ายดายมากๆ เพราะใช้เวลาบินแค่ 3 ชั่วโมง เท่านั้นเอง แน่นอนว่า AirAsia ตัวจริงเรื่องบินจีน มีเที่ยวบินจากดอนเมือง – ซัวเถา สูงสุด 1 เที่ยวบินต่อวัน จองเลย https://air.asia/XkBvR ใครที่มีเวลาน้อยจัดแพลนสัก 3 วัน 2 คืน เท่านี้ก็เที่ยวได้เต็มอิ่มแบบสุดๆ แล้วล่ะค่า
ทริปนี้เราเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชียจากสนามบินดอนเมือง (DMK) ไปลงสนามบิน Jieyang Chaoshan International Airport (SWA) เวลาดีเลยค่ะ บินเช้า 09:05 – 13:10 น. ส่วนไฟลท์ขากลับ 13:55 – 16:10 น. แนะนำให้จองแพ็คสุดคุ้มไปล่วงหน้าเลย เพราะได้ทั้งน้ำหนักกระเป๋า 20 กก. พร้อมอาหาร น้ำดื่ม และสามารถเลือกที่นั่งได้อีกด้วย คุ้มสมชื่อจริงๆ ค่า
ที่พักในเมือง ซัวเถา
เดินทางมาถึงเมืองซัวเถาแล้ว เดี๋ยวเราขอพานั่ง Airport Express Bus เข้าเมือง แวะไปเช็กอิน เก็บของเข้าที่พักกันก่อน โดยทริปนี้เราพักที่ Yiju Hotel (Shantou High-speed Railway Station) ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟความเร็วสูงเลยค่ะ ห้องพักดีมากเลยนะ ราคาประมาณ 1,6xx บาท/คืน ห้องกว้างมากกก ห้องน้ำเป็น Smart Toilet แบบที่ญี่ปุ่นเลย แถมยังมี Smart Home System สามารถสั่งงานผ่านเสียงให้ Xiaodu เปิด – ปิด แอร์ให้ หรือสั่งน้ำ สั่งอาหารผ่าน Xiaodu ได้ด้วยล่ะค่ะ อ่อ เราจองผ่านเว็บไซต์ Trip.com นะคะ จะมีที่พักในจีนให้เลือกเยอะกว่า agoda หรือ booking ค่า
สนใจจองที่พัก Yiju Hotel (Shantou High-speed Railway Station) สามารถคลิกลิงค์ด้านล่างได้เลย
Application ที่ต้องมี!
ก่อนจะไปเริ่มต้นเที่ยวซัวเถากันในทริปนี้ เราขอแนะนำ Application ที่ต้องมี! ก่อนคิดไปเที่ยวเมืองจีนให้ก่อนนะคะ เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะที่จีนเขาจะใช้แอปที่ต่างจากประเทศอื่นๆ พวก Google Map อะไรพวกนี้จะไม่สามารถใช้งานที่เมืองจีนได้เลย ฉะนั้นถ้าเราโหลดแอปพวกนี้ติดเครื่องไว้ ยังไงก็ได้ใช้ประโยชน์แน่นวล
- Alipay เป็นทุกอย่างให้เธอในประเทศจีนจริงๆ ค่ะ เพราะใช้จ่ายเงิน / จ่ายค่ารถเมล์ / เรียกแท็กซี่ (DiDi) / จองรถไฟ / จองที่พัก ฯลฯ ทุกอย่างสามารถทำผ่าน Alipay ได้หมดเลย สามารถผูกกับบัตร Travel Card ได้เลยนะ ดูรีวิววิธีสมัครและผูกบัตรในแอป Alipay
- Baidu Maps อย่างที่บอกว่าในจีนไม่สามารถใช้ Google Map ได้ ฉะนั้นเราจะต้องใช้ Baidu Maps ในการหาวิธีการเดินทางแทนค่ะ ความยากก็คือในแอปจะเป็นภาษาจีนทั้งหมด แนะนำให้ใช้วิธีแคปรูปหน้าจอแล้วเอาไปแปลใน Google Translate เอาค่า
- Railway12306 เป็นแอปสำหรับจองรถไฟในจีนค่ะ จริงๆ จะจองผ่าน Trip.com ก็ได้ แต่จะชาร์จเพิ่ม แนะนำให้จองผ่าน Railway12306 จะได้ราคาดีกว่าค่ะ
DAY 1
แอปพร้อม คนพร้อม! ขอเริ่มต้นพาไปเที่ยวที่แรกในทริปนี้กันเลยดีกว่าค่ะ มาถึงวันแรกก็ขอห้าว ลองนั่งรถไฟความเร็วสูงจีนกันเลย โดยเราจะไปกันที่ Xuanwu Mountain (玄武山) หรือ “ศาลเจ้าพ่อเสือ” กันค่ะ เดินทางไม่ยาก แต่ค่อนข้างไกล และต้องนั่งรถไฟความเร็วสูง แล้วค่อยต่อแท็กซี่ หรือที่คนจีนเรียกกันว่า DiDi เพื่อประหยัดเวลาเดินทาง เพราะถ้าต่อรถบัส เราจะต้องใช้เวลาเดินทางนานกันเกือบ 4 ชั่วโมง ไป-กลับ 8 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว! > ดูวิธีนั่งรถไฟความเร็วสูงจีนด้วยตัวเอง
นั่งรถไฟความเร็วสูงจาก Shantou Sation มาลง Lufeng Station ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงแล้วล่ะค่ะ หลังจากนี้เราก็เรียก DiDi หรือแท็กซี่ ให้ไปส่งที่ศาลเจ้าพ่อเสือเลย ประหยัดเวลากว่านั่งรถบัสมากๆ ค่า > ดูวิธีเรียกแท๊กซี่จีนด้วย DiDi
ศาลเจ้าพ่อเสือ (Xuanwu Mountain)
สายมูทุกคนน่าจะเคยได้ยินชื่อ “ศาลเจ้าพ่อเสือ” ผ่านหูกันอยู่แล้ว เพราะมีองค์จำลองอยู่ที่เสาชิงช้าในกรุงเทพฯ ด้วย แต่เรามาถึงซัวเถาทั้งที ต้องมาสักการะองค์จริงกันที่นี่ “Xuanwu Mountain (玄武山)” นะคะ โดยศาลเจ้าพ่อเสือนั้นเด่นดังในเรื่องการปัดเป่าสิ่งไม่ดี หลายคนก็นิยมมาไหว้เพื่อแก้ปีชงกัน ว่ากันว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ชาวจีนแต้จิ๋วที่ทำอาชีพค้าขายหรือทำธุรกิจต้องแวะมาสักการะสักครั้งหนึ่งในชีวิตเลยล่ะค่ะ
ศาลเจ้าพ่อเสือที่นี่นั้นจะมีฝั่งเหนือและฝั่งใต้ค่ะ ถ้าเดินทางมาเองแบบเรา แท็กซี่จะมาส่งที่ Southeast Gate ตรงนี้เลย ทริปนี้ตั้งใจใส่ชุดสีมงคลของตัวเองมาโดยเฉพาะด้วย ของเราเกิดปีเถาะ ชุดสีมงคลคือ สีเขียว และสีน้ำเงิน บอกแล้วว่าทริปนี้ไม่ปัง เราไม่กลับ!
รอบๆ ศาลเจ้าพ่อเสือจะมีชุดไหว้ขายอยู่หลายร้านเลยค่ะ สามารถเดินไปซื้อแล้วมาไหว้ได้เลย สำหรับวิธีไหว้นั้น ให้จุดธูป 18 ดอก แล้วปักธูป 3 ดอก ใน 6 กระถาง จะเป็นการสักการะ ทีกง / ตั่วเหล่าเอี้ยกง / เจ้าพ่อเสือ / เทพเจ้ากวนอู แล้วขอพรได้เลยค่ะ ถ้าเป็นคนจีนเขาจะเตรียมของไหว้มาจากบ้านเอง สำหรับนักท่องเที่ยวแบบเรา อาจจะจัดชุดใหญ่แบบนั้นไม่ได้ แค่มาสักการะด้วยตัวเองแบบนี้ เท่านี้ก็เป็นสิริมงคลกับชีวิตมากแล้วล่ะค่า
ชุดไหว้ชุดเล็กจะมีธูปแล้วก็น้ำมันตะเกียงค่ะ ปักธูป อธิษฐานเสร็จ ก็มาเติมน้ำมันตะเกียงเพื่อให้ชีวิตมีความรุ่งโรจน์ เปรียบเสมือนการเติมแสงไฟเพื่อให้ชีวิตมีแสงสว่างนำทางไปตลอดปีมังกรนี้เลยค่า
ภายในศาลเจ้านั้นมีเทพหลายองค์ให้เราได้มาอธิษฐานขอพรค่ะ
แต่องค์ที่เด่นสุดของที่นี่คือ “ตั่วเหล่าเอี๊ย เฮียงบู่ซัว” เป็นเทพเจ้าในลัทธิเต๋าของจีนที่ชาวซัวเถาเคารพสักการะกันมาเป็นพันปีแล้วล่ะค่ะ ว่ากันว่า บรรดาพ่อค้านักธุรกิจชาวจีนทุกคนจะต้องมาไหว้สักการะองค์ตั่วเหล่าเอี๊ยอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกๆ ปี เพื่อขอพรให้ประสบความสำเร็จ ธุรกิจการค้าเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า และราบรื่น ฉะนั้นใครที่มาเที่ยวซัวเถา ยังไง๊ยังไงก็ต้องแวะมามูที่ศาลเจ้าพ่อเสือให้ได้เลยนะคะ
ใครที่พอมีเวลาเหลือ แนะนำให้เดินไปทางประตูทิศเหนือ จะมีอีกโซนที่ต้องเสียตังค์เข้าไปค่ะ (คนละ 25 หยวน) เราเห็นบล็อคเกอร์จีนเขานิยมมาถ่ายรูปด้านในกัน คนเฝ้าประตูก็บอกว่าเลยว่า Photo Photo เข้าไปด้านในจะเจอผนังรูปปั้นวงกลมลาย “ปลาหลีฮื้อ” หรือมังกรที่ในตำนานเล่าว่าเป็นปลากระโดดข้ามประตูสวรรค์แล้วกลายมาเป็นมังกร สื่อความหมายว่า หากมีความเพียรพยายามจนถึงจุดหนึ่ง เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้เหมือนดั่งมังกร ว่ากันว่า ถ้าเอามือลูบผนังนี้เป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกาแล้วจะร่ำรวย ทำมาค้าขึ้น ธุรกิจราบรื่นค่า
เราลูบประมาณ 180 รอบได้ค่ะ รวยๆๆๆ เฮงๆๆๆ
มีเรื่องประทับใจเกี่ยวกับคนจีนอยากเล่าให้ฟังด้วยค่ะ ตอนถ่ายรูปด้านหน้าศาลเจ้าพ่อเสืออยู่ มีคนจีนเดินเข้ามาพูดจีนใส่ เราเดาว่าคงอยากให้ถ่ายรูปให้ เพราะเขายกโทรศัพท์ขึ้นมา เราก็เลยถ่ายให้ เสร็จแล้วเขาก็เดินเข้าไปในศาลแล้วกลับออกมาพร้อมยื่นส้มให้คนละลูก เท่านี้ไม่พอ ยังเดินไปซื้อส้มมาให้อีกถุงนึงด้วยค่ะ ใจฟูมาก เพราะถึงแม้จะสื่อสารกันไม่เข้าใจสักคำ แต่สัมผัสได้ถึงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาอยากแบ่งปันให้เรา ที่สำคัญ “ส้ม” ยังเป็นผลไม้มงคลของคนจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีนด้วยค่ะ เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของการอวยพรให้มั่งมี มั่งคั่ง เพราะผลส้มมีสีเหลืองอร่ามคล้ายกับทองคำนั่นเองค่า
แผนที่ศาลเจ้าพ่อเสือ : https://j.map.baidu.com/8b/7qM
ศาลไต่ฮงกง (He Ping Da Feng Feng Jing Qu)
จากศาลเจ้าพ่อเสือ เรานั่งรถไฟความเร็วสูงกลับไปลงที่ Chaoyang Station แล้วต่อแท็กซี่ไปที่ He Ping Da Feng Feng Jing Qu (大峰风景区) หรือ “ศาลไต่ฮงกง” กันค่ะ ปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปแล้ว เราต้องมาเติมเต็มสุขภาพดีๆ กันที่นี่นะ เพราะหลายคนนิยมมามู มาขอพรเรื่องสุขภาพกันที่นี่ค่ะ
อันที่จริงแล้ว ศาลไต่ฮงกงที่กรุงเทพฯ ก็มีนะคะ แต่มาถึงซัวเถาแล้วทั้งที ก็ควรมาสักการะองค์จริงที่นี่เพื่อเป็นสิริมงคลรับปีมังกรกันสักหน่อย
สำหรับวิธีไหว้ก็คล้ายๆ ศาลเจ้าพ่อเสือเลยค่ะ แต่ที่ไต่ฮงกงนั้นจะใช้ธูปแค่ 8 ดอก โดยปักธูป 5 ดอก เพื่อสักการะเทพยดาฟ้าดิน และปักธูป 3 ดอก เพื่อสักการะหลวงปู่ไต่ฮงกงค่ะ
สำหรับหลวงปู่ไต่ฮงกงนั้น คนไทยเราจะรู้จักกันในนาม “ป่อเต็กตึ๊ง” ค่ะ ท่านเป็นพระที่ชอบช่วยเหลือผู้คนและดูแลคนเจ็บคนป่วย จนเป็นที่ศรัทธาเหลื่อมใสไปในหลายพื้นที่ แน่นอนว่ารวมถึงที่ไทยด้วย เพราะไทยเราก็มีมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งที่หลายคนนิยมไปทำบุญสะเดาะเคราะห์กันนั่นเองค่ะ มาถึงถิ่นกำเนิดไต่ฮงกงแล้ว ต้องขอพรให้สุขภาพแข็งแรง ไร้โรคภัยไข้เจ็บนะคะ ไหว้ท่านเสร็จแล้ว สามารถแวะไปสักการะหลุมศพท่านที่เนินด้านหลังได้ด้วยค่า
จากศาลไต่ฮงกง เดินลงบันไดมาด้านล่างจะมีทะเลสาบ มีสตรีทฟู้ดจีน และสวนสนุกเล็กๆ ให้เราได้จอยๆ ก่อนกลับโรงแรมด้วยค่ะ
ใครที่ชอบถ่ายภาพ แนะนำให้มาศาลไต่ฮงกงช่วงบ่ายแก่ๆ เหมือนเรา ไหว้เสร็จก็จะเริ่มเย็นพอดี สามารถแวะมาถ่ายรูปสวยๆ ตรงสวนสาธารณะข้างๆ ได้ มีทางเดินรอบทะเลสาบเลย แถมยังมีสะพานสวยๆ ให้แชะภาพด้วย ช่วงแสงเย็นนี่สวยน่าดูเลยล่ะค่ะ
ช่วงที่เรามา อากาศที่ซัวเถากำลังเย็นสบายเลยค่ะ ช่วงค่ำอาจจะหนาวนิดนึง ประมาณ 5-6 องศา แต่กลางวันที่มีแดดนี่อากาศดีมาก อุณหภูมิประมาณ 15-20 องศา ใครชอบเที่ยวแบบสบายๆ แนะนำมาช่วงต้นปีแบบเรานะคะ รับรองเที่ยวเพลินแน่นอนค่า
แผนที่ศาลไต่ฮงกง : https://j.map.baidu.com/06/w3c
DAY 2
ศาลเทพมังกรเขียว (Qinglong Ancient Temple)
เช้าวันที่สอง เดี๋ยววันนี้เราจะเดินทางไปเที่ยว Chaozhou หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม “แต้จิ๋ว” กันค่ะ โดยเราจะเริ่มต้นด้วยการพาไปมูที่ Qinglong Ancient Temple (青龙古庙) หรือ “ศาลเทพมังกรเขียว” กันก่อนเลย สามารถไปแบบเช้า – เย็นกลับได้นะ วิธีการเดินทางก็ไปได้หลายวิธี จะนั่งรถบัสไปก็ได้ค่ะ แต่ส่วนตัวเราเดินทางตาม Baidu map แนะนำ โดยจากที่พัก เราขึ้นรถเมล์สาย 101 ที่ป้าย 天山练江路口站 ไปลงที่ป้าย 潮州千果山旅游区站 แล้วเดินประมาณ 100 เมตร เพื่อไปขึ้นรถเมล์สาย 108 ที่ป้าย 千果山景区站 (始发站) ไปลงที่ป้าย 南桥市场站 จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 675 เมตร ก็จะถึงศาลเทพมังกรเขียว รวมเวลาเดินทางทั้งหมดประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ ค่ะ
“ศาลเทพมังกรเขียว” เป็นสถานที่ที่ชาวจีนแต้จิ๋วให้ความเคารพกันมากค่ะ เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่ชาวจีนแต้จิ๋วร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึง “แชเล่งเอี๊ย” ขุนนางผู้ดูแลชาวแต้จิ๋วในสมัยราชวงศ์หยวน ซึ่งเป็นยุคที่คนจีนยังคงยากจนข้นแค้นและอยากเดินทางไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างแดน โดยได้แชเล่งเอี๊ยคอยช่วยให้ได้ขึ้นเรือเดินทางไปได้ ปัจจุบันชาวจีนแต้จิ๋วมีความเชื่อกันว่า เทพมังกรเขียวคือเทพารักษ์ประจำแหล่งน้ำทุกแห่ง คอยช่วยปกปักรักษาความอุดมสมบูรณ์ หลายคนจึงนิยมมาขอให้ประสบพบเจอแต่ความโชคดี มีบารมี และมีความร่มเย็นเป็นสุขตลอดปีและตลอดไปค่า
สำหรับวิธีไหว้เทพมังกรเขียว ให้จุดธูป 3 ดอก แทนการไหว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือจุดธูป 5 ดอก แทน 5 ธาตุ จากนั้นให้เริ่มไหว้เทพยดาฟ้าดิน (ทีกง) แล้วคำนับ 3 ครั้ง เมื่อไหว้เสร็จก็ไปเผากระดาษเงิน กระดาษทอง (จะมีจุดเผาอยู่ด้านนอก) ถ้าเป็นคนจีนเขาจะเตรียมของไหว้ (น้ำ ส้ม ไข่ต้ม) ตามจำนวนเลขคู่ที่ 4 หารลงตัว เช่น 4, 8, 12, 16, 20 มาไหว้ด้วย สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา ถ้าไม่สะดวกเตรียมมาก็สามารถจุดธูปไหว้ตามคำแนะนำด้านบนและอธิษฐานขอพรได้เลยค่า
แผนที่ศาลเทพมังกรเขียว : https://j.map.baidu.com/a5/vuaJ
วัดไคหยวน (Kaiyuan Temple)
ไหว้เทพมังกรเขียวเสร็จแล้ว เราก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ Kaiyuan Temple (开元寺) หรือ “วัดไคหยวน” ต่อเลยค่ะ สถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองแต้จิ๋วเลยล่ะค่ะ เป็นวัดที่ได้รับความนิยมมากๆ เพราะมีประวัติศาสตร์ยาวนาน สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง ราว ค.ศ.738 คนจีนนิยมมาสักการะกันไม่ขาดสายเลยล่ะค่า
ที่วัดไคหยวนนั้นจะมีองค์เจ้าแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกรประทับอยู่ภายในศาลเจ้าค่ะ ว่ากันว่า ขออะไรก็จะสมหวังแบบปุ๊บปั๊บทันใจเหมือนติดไวไฟเลยทีเดียว หลายคนนิยมมาขอให้ค้าขายคล่อง เดินทางราบรื่นปลอดภัย โดยวิธีไหว้นั้นจะต้องเริ่มจากการไหว้คำนับฟ้าดินทั้ง 4 ทิศ แล้วค่อยไปไหว้ขอพรกับเจ้าแม่กวนอิมพันมือที่ในศาลเจ้าค่ะ
สักการะขอพรองค์เจ้าแม่กวนอิมพันมือเสร็จเรียบร้อยแล้วก็อย่าเพิ่งรีบกลับนะคะ เพราะภายในวัดไคหยวนนั้นกว้างใหญ่และมีมุมถ่ายรูปสวยๆ หลายมุมเลยทีเดียว เราเองก็ตามรอยมุมถ่ายรูปสวยๆ ภายในวัดมาจากบล็อคเกอร์จีนเหมือนกัน วันนี้จัดชุดสีมงคลอีกสี (สีน้ำเงิน) เตรียมมาถ่ายรูปที่นี่เลย เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งวัดสวยที่ควรค่าต่อการแวะมามากๆ เลยล่ะค่า
แผนที่วัดไคหยวน : https://j.map.baidu.com/cd/shi
Titalk Cafe
พาไปมูกันมาหลายที่แล้ว อย่าเพิ่งคิดว่าซัวเถาและแต้จิ๋ว มีแต่ศาล มีแต่วัดให้มูอย่างเดียวนะคะ เพราะคาเฟ่เก๋ๆ เขาก็มีเยอะเลย ป่ะ เดี๋ยวพาไปร้านแรกกันเลย Titalk Cafe (踢桃咖啡餐廳) สามารถเดินจากวัดไคหยวนไปได้ ไม่ไกลเลยค่ะ
ความเก๋ของร้านนี้คือมีที่นั่งบนดาดฟ้าซึ่งอยู่ติดกับหลังคาบ้านทรงจีนโบราณ ดูมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครดีค่ะ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในคาเฟ่ที่จีนจริงๆ ไม่ต้องมินิมอล ไม่ต้องเกาหลีสไตล์ใดๆ เวลาเราไปเที่ยวที่ไหน เราก็อยากได้ไวบ์แบบนั้นประเทศนั้นๆ ล่ะเนาะ ใครอยากได้ไวบ์แบบจีนๆ ก็แนะนำคาเฟ่นี้เลยค่า
กาแฟที่นี่ส่วนใหญ่ราคาประมาณ 25 – 28 หยวน เราว่ารับได้ค่ะ พอๆ กับคาเฟ่ในไทยเลย
แผนที่ Titalk Cafe : https://j.map.baidu.com/50/z2mc
Paifang Street
นั่งจิบกาแฟได้สักพัก เราก็เดินมาที่ “Paifang Street” ซึ่งเป็นถนนคนเดินสายโบราณของเมืองแต้จิ๋วค่ะ โดยสถานที่ในเมืองแต้จิ๋วจะสามารถเดินถึงกันได้หมด (ยกเว้นศาลเทพมังกรเขียว แนะนำนั่งแท็กซี่ดีกว่าค่ะ จริงๆ เดินก็ได้ แต่ค่อนข้างไกลกว่าที่อื่น) ฉะนั้นจากวัดไคหยวนถึง Titalk Cafe และ Paifang Street สามารถเดินเที่ยวได้แบบชิลๆ เลย เป็นเมืองที่เหมาะสำหรับเดินเที่ยวสุดๆ เลยล่ะค่า
สองข้างทางของถนนคนเดินเส้นนี้ก็จะเต็มไปด้วยร้านอาหารมากมาย ใครที่อยากลิ้มรสอาหารแต้จิ๋วแท้ๆ แนะนำมาลองชิมที่นี่ได้เลยค่ะ มีให้ชิมทุกเมนู!
เราขอลองจัด “ออส่วนหอยนางรมแป้งกรอบ” มาก่อนเลย อยากลองชิมมานานแล้ว เพราะออส่วนในไทยจะให้สัมผัสนิ่มๆ แต่ของที่นี่จะเป็นแป้งกรอบค่ะ รสชาติจะคล้ายๆ ไข่เจียวหอยนางรม แต่เขาเสิร์ฟพร้อมน้ำปลาเยาะพริกไทย ไม่ได้กินกับซอสพริกเหมือนที่บ้านเราค่า
สังเกตสองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านขายน้ำมากมาย ที่ฮ็อตสุดต้องยกให้แก้วรูปกาพ่นควันแบบนี้ค่ะ มีขายหลายร้านมากๆ สามารถเลือกเมนูเครื่องดื่มได้ จะสั่งเป็นชา กาแฟ หรือน้ำผลไม้ก็ตามแต่ใจเลย ใครจะไปจีนแนะนำให้โหลดแอปฯ Alipay ติดเครื่องไว้เลยนะคะ เพราะเอเวอรี่ติงจิงกาเบลในจีนสามารถใช้ Alipay จ่ายได้หมดเลยค่ะ ทั้งร้านค้า ค่ารถเมล์ จะเรียกแท็กซี่ก็ได้ เป็นแอปฯ ครอบจักรวาลจีนจริงๆ ค่า
สายกินต้องเพลิดเพลินกับถนนสายนี้อย่างแน่นอน เพราะมีอาหารแต้จิ๋วแท้ๆ ให้ลองชิมเพียบ! ขอจัดมาแนะนำสองเมนูเบาๆ ค่ะ
1. อั่งถ่อก้วย เป็นของว่างมงคลของชาวแต้จิ๋ว โดยคำว่า “อั่ง” หมายถึง สีแดง (ทุกเฉด อ่อน เข้ม) เป็นสีนำโชคของคนจีน “ถ่อ” หมายถึง ผลท้อ และ “ก้วย” หมายถึง ของว่างที่ทำจากข้าวและผักหลากหลายชนิด เป็นอาหารที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมของชาวจีนแต้จิ๋วเลยล่ะค่ะ เราจะเห็นว่ามีบรรดา “ก้วย” แบบนี้ขายอยู่หลายร้านเลย หน้าตาจะคล้ายๆ กุ้ยช่ายของบ้านเรา สำหรับอั่งถ่อก้วยนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในอาหารมงคลที่ชาวจีนแต้จิ๋วใช้ไหว้กันในวันตรุษจีนด้วย เพราะลูกท้อนั้นมีคุณสมบัติเรื่องอายุวัฒนะ การทำอั่งถ่อก้วยออกมาเลียนแบบผลท้อจึงมีนัยแฝงว่ากินแล้วจะโชคดี อายุยืน เป็นสิริมงคลช่วงปีใหม่นั่นเองค่า
2. จุ๋ยก้วย อีกหนึ่ง “ก้วย” ที่มีขายหลายร้านเลยในแต้จิ๋ว อารมณ์จะคล้ายๆ ติ๋มซำสไตล์กวางตุ้ง เพราะคนจีนแต้จิ๋วเขากินเป็นของว่างกันค่ะ ด้านล่างจะเป็นแป้งปั้นเป็นรูปทรงถ้วยแล้วราดด้วยหัวไชโป๊ผัด รสชาติมันๆ เค็มๆ หากินยากในไทยแต่หากินง่ายในแต้จิ๋วค่า
เดินมาจนสุดทางเดินของ Paifang Street จะเจอ Guang Ji Men Cheng Lou หรือ “หอประตูเมืองกว่างจี้” แล้วถ้าเดินทะลุประตูไปอีกนิดก็จะเจอ Xiangzi Bridge หรือ “สะพานวัวคู่” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองแต้จิ๋วค่ะ
สะพานวัวคู่ ถือว่าเป็นสะพานแห่งแรกของจีนที่สามารถยกเปิด-ปิดได้ เพราะเขาใช้เรือ 18 ลำมาเชื่อมต่อกันไว้ค่ะ เราไปถึงช่วงเย็นแล้ว สะพานเปิดออกพอดี ถ้าใครไปเร็วกว่านี้จะสามารถซื้อตั๋วเข้าไปเดินบนสะพานได้ด้วยล่ะค่า
แผนที่ Paifang Street : https://j.map.baidu.com/9d/HyKi
DAY 3
วันที่สามในซัวเถา เดี๋ยววันนี้เรานั่งรถเมล์เที่ยวภายในซัวเถากันค่ะ เป็นวันชิลๆ เน้นหามุมถ่ายรูปสวยๆ ชิคๆ ลบมายาคติที่ว่าซัวเถาเป็นเมืองเยี่ยมญาติไปให้หมดสิ้น เพราะเราจะพาไปอัพเดทมุมชิคในเมืองซัวเถากัน ม่ะ กระโดดขึ้นรถเมล์ไปพร้อมกันเลยค่ะ วิธีนั่งรถเมล์ในจีนง่ายกว่าที่คิดเยอะเลยค่ะ แค่มีแอปฯ Alipay ซึ่งเป็นทุกอย่างให้เธอในประเทศจีนจริงๆ > ดูรีวิววิธีการขึ้นรถเมล์ในจีน
พิพิธภัณฑ์เฉาซาน
(Chaoshan Historical and Cultural Expo Center)
“Chaoshan” นั้น เป็นชื่อเรียกภูมิภาควัฒนธรรมทางภาษาในทางทิศตะวันออกของมณฑลกวางตุ้ง ประกอบไปด้วยเมืองแต้จิ๋ว (Chaozhou) / เจียหยาง (Jieyang) และซัวเถา (Shantou) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บรรพบุรุษชาวไทยเชื้อสายจีนของเราอพยพด้วยการโล้เรือสำเภาแบบเสื่อผืนหมอนใบมาตั้งรกรากกันอยู่ในประเทศไทยนั่นเองค่า
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้เข้าชม “ฟรี” นะคะ ด้านในโอ่อ่าสวยงามมาก มีทั้งหมด 4 ชั้นเลยทีเดียว นอกจากจะจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของภูมิภาคเฉาซานแล้ว ยังเป็นที่ที่บล็อคเกอร์จีนเขานิยมมาถ่ายรูปชิคๆ กันด้วยค่ะ เพราะมีมุมเก๋ๆ ที่ดูมินิมอลมินิใจให้แชะภาพอยู่หลายมุมเลยทีเดียว
สารภาพตามตรงว่าตอนแรกเราตั้งใจมาถ่ายรูปอย่างเดียวเลยค่ะ แต่พอมาถึงแล้วก็เลยเดินดูภายในพิพิธภัณฑ์สักหน่อย ปรากฏว่าเพลินซะงั้น เราว่าเขาออกแบบโซนต่างๆ ดีมากๆ ถึงแม้จะเป็นภาษาจีนล้วน แต่ก็เดาเรื่องราวได้ไม่ยากจากรูปแบบการนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร วัฒนธรรม รวมไปถึงประวัติศาสตร์และหลักคิด สัมผัสได้ว่าคนจีนเขาภาคภูมิใจกับ “ความขยัน” ของเขามากจริงๆ เป็นสถานที่ที่ทำให้เราได้เข้าใจ “คนจีน” ซึ่งมีสายเลือดใกล้ชิดกับเรามากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยล่ะค่า
แผนที่พิพิธภัณฑ์เฉาซาน : https://j.map.baidu.com/42/YPk
Temp Coffee
เดินดูพิพิธภัณฑ์เพลินๆ ได้พักใหญ่ๆ เราก็โดดขึ้นรถเมล์ต่อมาที่อีกหนึ่งคาเฟ่ยอดฮิตของเมืองซัวเถากันค่ะ Temp Coffee (小公园店) นั่นเอง ฮ็อตมากกกก ฮ็อตชนิดที่หัวกระไดหน้าร้านไม่แห้ง มีคนมายืนรอถ่ายรูปกันตลอดเวลาเลยล่ะค่ะ
ในร้านมีมุมถ่ายรูปชิคๆ ไว้เช็กอินด้วยนะ ชอบไวบ์จีนๆ แบบนี้จริงๆ ค่อยรู้สึกว่ามาถึงเมืองจีนหน่อย!
กาแฟที่จีนเข้มข้นใช้ได้เลยค่ะ คาเฟ่ที่นี่เขาจะชิลๆ กว่าที่อื่นตรงที่ไม่ต้องสั่งตามจำนวนคนก็ได้ คือมาสองคน สั่งแก้วเดียวก็ได้ ต่างจากคาเฟ่ที่เกาหลี ญี่ปุ่น ที่ต้องสั่งตามจำนวนคน ถ้าเทียบไปแล้วที่จีนจะออกแนวชิลๆ อิสระมากกว่าที่คิดซะอีกค่ะ
แผนที่ Temp Coffee : https://j.map.baidu.com/a1/HfWK
Shantou Old Town
จากร้าน Temp Coffee เราสามารถเดินเที่ยวเรื่อยๆ ไปที่ Shantou Old Town (汕頭小公園) ได้เลยนะ คนจีนเขาจะเรียกการเที่ยวแบบนี้ว่า City Walk ค่ะ คือเน้นเดินเที่ยวถ่ายรูปไปเรื่อยๆ แถวนี้ก็คือชิคน่าดู มีคาเฟ่เก๋ๆ เพียบ! สำหรับคนไทย “ซัวเถา” อาจจะเป็นเมืองเยี่ยมญาติ แต่สำหรับคนจีน “ซัวเถา” คือหนึ่งในเมืองชิคที่วัยรุ่นจีนนิยมมาถ่ายรูป เช็กอินกันเยอะมากๆ เลยล่ะค่ะ
Shantou Old Town (汕頭小公園) เป็นถนนคนเดินสายโบราณของเมืองซัวเถาค่ะ แนะนำให้มาช่วงเย็นๆ แล้วอยู่จนถึงค่ำๆ เลยนะ ไวบ์ดีมากกกกกก เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในเมืองจีนยุคเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้เลยล่ะค่ะ ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย เชียร์ให้มาจริงๆ เพราะใกล้กว่าเซี่ยงไฮ้ แต่ได้ไวบ์ไม่แตกต่างกันเลย
บริเวณตรงกลางของ Shantou Old Town จะเป็นที่ตั้งของ Zhongshan Memorial Pavilion (中山纪念亭) หรือ “ศาลาอนุสรณ์สถานจงซาน” เป็นเหมือนจุดนัดพบของคนที่นี่ รอบๆ เต็มไปด้วยร้านอาหาร และคาเฟ่หลายร้าน บรรยากาศคึกคัก เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายเลยล่ะค่ะ
อย่าลืมซื้อไอศครีมมาถ่ายรูปกับแลนด์มาร์คด้วยนะ
ช่วงหัวค่ำเริ่มเปิดไฟสวยมาก ถ่ายรูปรัวๆ เลยจ้ะ
เดินเที่ยวเหนื่อยๆ มาทั้งวัน ขอเลี้ยวเข้าร้านอาหารไปเติมพลังกันก่อนกลับโรงแรมซะหน่อย
มื้อนี้ขอจัด “ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อ” หนึ่งในเมนูขึ้นชื่อของเมืองซัวเถามาชิม ถ้าใครได้ลิ้มลองลูกชิ้นซัวเถาสักครั้งก็ต้องลืมไม่ลง เพราะมันเด้งสู้ลิ้นดีจริงๆ แล้วตบท้ายด้วย “บัวลอย” อีกหนึ่งขนมมงคลที่ชาวจีนนิยมทานกันในช่วงวันตรุษจีน เพราะเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มความกลมเกลียว อบอุ่น และแน่นแฟ้นภายในครอบครัว โดยก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นและบัวลอยนั้นเป็นเมนูขึ้นชื่อของเมืองซัวเถา หากินง่ายได้ตามร้านทั่วๆ ไปเลยค่า
แผนที่ Shantou Old Town : https://j.map.baidu.com/ad/BlKi
จบทริป “ซัวเถา” กับการมาเที่ยวประเทศจีนด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกของเรา อยากจะบอกว่าประทับใจกว่าที่คิดไว้มากๆๆ เลยล่ะค่ะ จริงๆ ยังมีรายละเอียดยิบย่อยที่ยังไม่ได้เล่าในโพสนี้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความประทับใจที่ได้เจอในทริปนี้ คนจีนที่เราเจอไนซ์กว่าที่คิดไว้มากๆ แม้จะมี “กำแพง (ภาษา) จีน” กั้นเอาไว้ เพราะเขาไม่พูดภาษาอังกฤษกันเลย เจ้าหน้าที่ที่สนามบิน รวมไปถึงพนักงานที่โรงแรมยังพูดแต่ภาษาจีนเลยค่ะ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใหญ่อะไรที่ทำให้การเที่ยวจีนครั้งนี้ไม่สนุกนะ
กลับกันซะอีก เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่นี่ ในเมืองที่บรรพบุรุษชาวไทยเชื้อสายจีนของเราเริ่มต้นมีความคิดอยากออกผจญภัยเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนนำมาสู่ความสัมพันธ์ที่ดีของประเทศไทยกับประเทศจีน สุดท้ายเราก็ได้ “ฟรีวีซ่า” ฉะนั้นใครที่กำลังมองหาทริปเที่ยวใกล้เมืองไทย เราแนะนำ “ซัวเถา” เลย มากิน มาเที่ยว มามู ให้ปังๆ รับปีมังกรกันนะ!